ประวัติคนที่ดี อบต.บ้านโสก นายหนูน้อย แสงมณี

ประวัติ นายหนูน้อย แสงมณี

ประวัติ นายหนูน้อย แสงมณี
เกิดที่บ้านโสก ๒๘ หมู่ ๓ ต.บ้านโสก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์

การทำงาน

- อดีดสมาชิก อบต.บ้านโสก

- กรรมการหมูบ้าน หมู่ ๓

- กรรมการ บริหารกองทุนหมู่บ้าน เงินล้าน

-จิตอาสา ด้านสังคม การตาย ของลูกบ้าน

- จิตอาสาเรื่องการงานประเพณี วัฒธรรมโบราญ

- จิตอาสาสมัคร งานบุญทุกงานทุกบ้านช่วยด้วยใจและแรงกาย


พณฯท่าน สนับสนุนคนดีของสังคม


- ภรรยา ทำหน้าที่เป็น อสม.ประจำตำบล บ้านโสก

 

ทำศพ เพื่อสังคม

นาย หนูน้อย แสงมณี ต.บ้านโสก

ทำศพ
ให้ทำอะไรก็ทำช่วยๆกันไปคนไทย บ้านเดียวกัน

นาย หนูน้อย แสงมณี ทำงานเพื่อสังคม



         มหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษเสนอหลักสูตรปริญญาตรีสาขาวิชาสัปเหร่อศาสตร์ ซึ่งครอบคลุมหมดตั้งแต่กระบวนการจัดการ พิธีการเรื่องงานศพไปจนถึงการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่สูญเสียญาติพี่น้อง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การให้บริการแบบครบวงจร และกระบวนการกำจัดศพ
         มหาวิทยาลัยบาธตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอังกฤษได้พยายามคิดหลักสูตรการศึกษาระดับปริญญาตรี 2 ปี ซึ่งหลักสูตรได้พัฒนาร่วมกันมากับสมาคมผู้อำนวยการฌาปนสถาน
         นักศึกษาสาม


           นาย หนูน้อย แสงมณี (สมชาย)

                 คนดีของสังคม ตำบลบ้านโสก

ารถโอนหน่วยกิตมาเรียนในระดับปริญญาตรีได้ โดยเรียนเพิ่มอีก 1 ปีเท่านั้น ซึ่งสถาบันนี้เปิดหลักสูตรไปจนถึงระดับปริญญาโทในด้านสาขาวิชามรณะและสังคม

         มหาวิทยาลัยบอกว่าหลักสูตรใหม่นี้กำหนดมาเพื่อให้นักศึกษาได้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในด้านสังคมศาสตร์และทัศนคติของมนุษยชาติต่อความตาย การสูญเสีย และหลักสูตรวิชาชีพสัปเหร่อ

         รับประกันจบออกมาแล้วมีงานทำในวงการสัปเหร่อ






คนดีของสังคม นายสมชาย




นาย หนูน้อย แสงมณี 

ต.บ้านโสก

คนดีของสังคมไม่วัดค่าที่เงินตรา

ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนผมคนติดดิน




ไปงานศพคือการไปพัฒนาปัญญา
                                                                    รุ่งรัศมี  ศรีวงศ์พันธ์
                                                                             นักวิชาการสาธารณสุข  7 

                        สำหรับคนโดยทั่วไปแล้ว   มักมอง “ความตาย ว่าเป็นเรื่องอัปมงคลอย่างยิ่ง  หากไม่จำเป็นแล้วจะไม่กล่าวถึงโดยเด็ดขาด  นี่คือท่าทีต่อความตายของคนโดยทั่วไป  ...เป็นท่าทีต่อความตายในเชิงลบ....   และเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงต่อความตาย    ท่าทีต่อความตายเช่นนี้  นับว่าตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา  เพราะพระพุทธองค์ทรงแนะนำให้พุทธศาสนิกชน  มีท่าทีต่อความตายในเชิงบวก  สอนให้ตระหนักรู้ว่า  การเรียนรู้เรื่องความตายนั้นเป็นศิริมงคลแห่งชีวิต   ดังคำที่ว่า
ในบรรดารอยเท้าทั้งหมด    รอยเท้าช้าง ยิ่งใหญ่ที่สุด 
ในบรรดาการฝึกสติทั้งหมด     มรณาสติ นับว่ายิ่งใหญ่ที่สุด
                การตระหนักรู้เรื่องความตายเป็นผลดีต่อการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะ การรับมือกับความตายอย่างมีสติ  เป็นเรื่องที่ชาวพุทธควรได้ฝึกฝน และเรียนรู้ให้รู้ทันความเป็นธรรมดาของชีวิตนี้   การเรียนเรื่องความตายนี้ เป็นหลักสูตรที่มนุษย์ทั้งโลก (ไม่เฉพาะชาวพุทธเท่านั้น) จำเป็นต้องเรียน  ไม่เรียนไม่ได้   คนไทยมีนิสัยชอบเรียน  เรียนทุกเรื่องยกเว้นเรื่องความตาย ไม่อยากเรียน  ไปงานศพจึงไม่ค่อยได้อะไรกลับมา  อย่างดีก็แค่นั่งฟังพระสวด  ทานข้าวต้ม  เอาพวงหรีดไปร่วมแสดงความไว้อาลัยกับเจ้าภาพ  พูดคุยนิดๆหน่อยๆ แล้วก็ลากลับ  ไม่ได้อะไร     บางคนคิดว่า ความตาย  เป็นเรื่องที่ไกลตัว  ยังมาไม่ถึง  ไม่ใช่เราหรอก (...อีกนาน...)  ความคิดเช่นนี้  ทำให้เราประมาท ...รอเวลา....  รอวัน...  รอวัย.....   ทำให้ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ  หรือสะสมความดีไว้ในปัจจุบันขณะ   
          หากไปงานศพ    ลองพิจารณาให้ดี      จะเห็นว่างานศพเต็มไปด้วยธรรมะ   เป็นการพิจารณาสังขาร เกิดมรณะสติ  เห็นสัจจะจากความเป็นจริงที่ว่า  ชีวิต...เป็นอย่างนี้หนอ....โดยพิจารณาจาก
           *  การทุบหม้อน้ำ  ขณะที่เอาศพลงจากบ้าน  เป็นการทุบขันธ์ 5  (ร่างกาย  ความรู้สึก  ความทรงจำ  ความคิด   และการรับรู้ ) บอกถึงความจริงที่ว่า ชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง  วันหนึ่งจะต้องแตกดับ
          * จูงศพออกจากบ้านมีการจุดประทัดสนั่นลั่นปฐพี  บางคนอธิบายว่าที่จุดประทัดก็เพื่อบอกคนตายว่า ....ออกจากบ้านแล้วนะ อย่ากลับมาอยู่ที่นี่อีกเลย...  แต่ความหมายในทางธรรมที่แท้จริงของการจุดประทัดยามจูงศพออกจากบ้านคือ ชีวิตคนก็เหมือนประทัด  เดี๋ยวก็แตกดับ  เหลือแต่ฝุ่นฝอย  ไม่เหลือแก่นสารอะไร  ชีวิตคือความว่างเปล่า (สุญญตา)  จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในชีวิตจนงมงาย  ปล่อยไม่ลง  ปลงไม่เป็น
                *    อนิจจัง  วะตะ   สังขารา   รูปร่างสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเช่นนี้เอง  มีความเกิด ความแตกดับเป็นธรรมดา            เป็นบทที่พระสงฆ์ใช้บริกรรมยามพิจารณาศพหรือพิจารณาผ้าบังสุกุล  เป็นการกล่าวถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา  ที่สอนในเรื่องการเกิดดับ  แต่เรามักไปพิจารณาเนื้อผ้าบังสุกุล     จึงได้มาแต่ผ้า  ไม่เห็นว่าวันหนึ่งตัวเองก็จะต้องตาย   ไม่เข้าใจความแตกดับอันเป็นธรรมดาของสังขารซึ่งแสดงตนอย่างเปิดเผยอยู่ตรงหน้า

จะเห็นว่า งานศพ  หรือพิธีกรรมในงานศพนั้น    เต็มไปด้วยธรรมะที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตอยู่ตลอดเวลา หากมองให้ดี  เวลาไปงานศพ  เราจะได้ปัญญา  ได้ความเข้าใจสัจธรรมของชีวิตกลับไปบ้านด้วย  นับเป็นความตายที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่ยังอยู่    ถือเป็นการได้ทำหน้าที่ของคนตายเป็นครั้งสุดท้าย  และเป็นครั้งที่สำคัญ.............

1 ความคิดเห็น:

วัดถ้ำลอดเจริญธรรม อ. เนินมะปราง

กิจกรรมทางศาสนาวัดถ้ำทองเจริญธรรม (วัดถ้ำลอด) ที่ดีๆที่ผ่านมา ทำบุญร่วมกัน เมื่อ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 ปีใหม่ "ปีมะเส็ง"

กิจกรรมทางศาสนาวัดถ้ำทองเจริญธรรม (วัดถ้ำลอด) ที่ดีๆที่ผ่านมา ทำบุญร่วมกัน เมื่อ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2568 ปีใหม่ "ปีมะเส็ง" ...